ตั้งแต่นาทีที่ …. 8.20 วันศุกร์ 13 กันยา 13

ความรู้สึกตัวต่อเนื่องได้แล้ว 5 นาที 10 นาที รู้สึกตัวได้แล้วดูกายทำงาน ดูใจทำงาน
ก็โน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัศนะ (ญาณแปลว่า “ปัญญา”, ทัศนะ แปลว่า “เห็น”) เข้าไปเห็นไม่ได้โน้มน้อมจิตไปคิดนะ ญาณทัศนะเป็นปัญญาที่เกิดจากการเห็นเพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่เห็น เพราะเรามีหน้าที่เห็น เห็นอะไร เห็นรูปธรรมทำงาน เห็นนามธรรมทำงาน ทิ้งตัวนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย ไม่อย่างนั้นไม่เห็นญาณทัศนะ จะเกิด ปัญญาจากการคิดเอา “จินตามยปัญญา” ได้แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นจะต้องให้ได้ญาณทัศนะ คือ ปัญญาที่ เกิดจากการเห็นเอา เห็น เห็นอย่างมีปัญญา เห็นอย่างไรหล่ะ เห็นไตรลักษณ์ เห็นกายแสดงไตรลักษณ์ เห็นใจ แสดงไตรลักษณ์ พวกเราต้องเห็นอย่างนี้นะ ส่วนใหญ่เราก็ทำได้แค่นี้แหล่ะ

ส่วนพวกเราบางคนพอถึงตรงนี้มากๆ เข้า เจริญสติในชีวิตประจำวันมากเข้ามากเข้านะ หรือทำในรูปแบบด้วยขณิกะสมาธิมากเข้านะ จิตมันจะได้สมาธิเพิ่มขึ้น เมื่อจิตมีสมาธิเพิ่้มขึ้นมันจะภาวนาได้ละเอียดไปอีก จิตมันไม่ถึงฌาณ แต่ว่ามันจะไปเดินปัญญาในอุปจาระสมาธิได้

พวกเรานะตอนที่นั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมนะ ก็เห็นสภาวะที่ไหวขึ้นมาภายในเนี่ยะ ที่มันไหวๆ ขึ้นมากลางอกเนี่ยะ ไหวขึ้นมา ไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่มีภาษาพูด อันนี้เป็นการเดินปัญญาในขั้นอุปจาระ ไหวขึ้นมา ไหวขึ้นมา ใช้อย่างนี้ก็ได้

นั่งสมาธิไป ไม่ใช่นั่งแล้วสงบนิ่งว่างเปล่าไร้สาระ นั่งพักผ่อนจนมีแรงแล้วนะ ก็โน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัศนะ เห็นความปรุงของสังขารที่ละเอียด ไม่ใช่สังขารหยาบ เช่น โลภ โกรธ หลง แล้ว แค่สิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป สิ่งเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป นี่เป็นปัญญา ฝึกมากๆ ก็ได้มรรคได้ผล เหมือนกันนะ ไม่ว่าจะเดินปัญญาในขั้นไหน ในอุปจาระ ในขณิกะก็ได้ผลเหมือนกัน แต่ตอนที่จะมรรคผลจิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิอัตโนมัติ แต่ถ้าเดินปัญญาในอัปปะนาสมาธิ มีคนทำได้ไม่มาก บางคนคิดว่า นั่งสมาธิแล้วออกมาพิจารณากาย นั่นไม่ใช่ ไม่ใช่เดินปัญญาในอัปปะนา เดินปัญญาในอัปปะนาจะเห็นความเสื่อมไปสิ้นไปหมดไปขององค์ฌาณ

มีต่ออีก…!!!